Business

ส่งออกสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรมเกษตรไทย ขยายตัวต่อเนื่อง

Krungthai COMPASS คาดส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

Krungthai COMPASS คาด ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ในไตรมาส 3/2566 มีมูลค่ารวม 12,207 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4.2 แสนล้านบาท ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566

Krungthai COMPASS

ทั้งนี้ ได้รับแรงสนับสนุนมาจากการส่งออกไปยังตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลัก คิดเป็นสัดส่วน 24% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด ที่ขยายตัวสูงถึง 28.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังตลาดอื่นยังคงหดตัว โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดหดตัว -7.6 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อนในกลุ่มสินค้าสำคัญ เช่น อาหารทะเลกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง

ส่วนตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 8% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด หดตัว 11.8% จากกำลังซื้อของผู้บริโภคในยุโรปหดตัวลง เนื่องจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ทำให้คู่ค้าส่วนใหญ่ชะลอคำสั่งซื้อออกไป

อย่างไรก็ตาม ในหมวดสินค้าเกษตร กลับมาขยายตัวที่ 4.1% โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัวอย่างมาก ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และข้าว ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และไก่

ส่งออก

ส่วนหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวต่อเนื่องที่ 5.2% โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง และน้ำตาลทราย

ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ สิ่งปรุงรสอาหาร ซึ่งพลิกกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส เนื่องจากคำสั่งซื้อของคู่ค้าในตลาดสหรัฐ ที่กลับมาขยายตัวดี จากการเร่งทำตลาดของผู้ประกอบการไทย

สำหรับสินค้าส่งออกที่หดตัวแรง ได้แก่ ยางพารา น้ำตาลทราย ส่วนสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และสิ่งปรุงรส

ส่วนสินค้าที่มูลค่าส่งออกขยายตัวดีอย่างข้าว ได้รับอานิสงส์จากราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาก จากนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย รวมถึงความกังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร

ข้าว

ขณะที่ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าในกลุ่มอาหารของตลาดจีน ขณะที่สิ่งปรุงรสอาหาร มีปัจจัยบวกจากคำสั่งซื้อของคู่ค้าในตลาดสหรัฐ ที่กลับมาขยายตัวดี จากการเร่งทำตลาดของผู้ประกอบการไทย

Krungthai COMPASS มองว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทยในระยะข้างหน้ามีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้

  • ความเสี่ยงจากภัยแล้ง โดยแม้ว่าในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยมีร่องมรสุมช่วยเติมปริมาณน้ำต้นทุนในช่วงปลายปีให้ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้พืชเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ที่จะทำการเพาะปลูกช่วงหน้าแล้ง อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณน้ำต้นทุนหลังสิ้นสุดฤดูฝนในไปนี้ จะยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงยังต้องติดตามความเสี่ยงจากภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อย่างใกล้ชิด

  • มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้ เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products) เช่น ยางพารา น้ำมันปาล์ม เนื้อวัว ไม้ กาแฟ โกโก้ และถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ผลิตจากสินค้าเหล่านี้ เช่น ช็อกโกแลต เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ถ่าน และสินค้าที่มีน้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น ที่จะบังคับใช้ในปี 2567

กฏหมายดังกล่าว อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปได้น้อยลง หากไม่สามารถปฎิบัติได้ตามกฎเกณฑ์ดังกล่าว

  • ความขัดแย้งของกลุ่มฮามาสและอิสราเอล แม้ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยยังค่อนข้างจำกัด และเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้าจำเป็นในกลุ่มอาหาร แต่หากสถานการณ์ขยายวงกว้าง และทวีความรุนแรงขึ้น อาจทำให้ผู้ส่งออกที่พึ่งพาตลาดดังกล่าว ต้องเผชิญปัญหาความล่าช้าในการขนส่ง และรับภาระต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น

ส่งออกอิสราเอล

  • การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศสงคราม อาจมีความเสี่ยงเรื่องการชำระเงิน หากสงครามมีการลุกลาม โดยผู้ประกอบการที่มีการส่งออกไปตลาดอิสราเอล อาจต้องทำประกันการส่งออก เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ไม่สามารถต่อรองขอ Advance Payment จากผู้ซื้อได้ โดยประกันการส่งออกมีหลายรูปแบบกรมธรรม์ เช่น กรมธรรม์การส่งออกราย Shipment ซึ่งเหมาะกับผู้ประกอบการที่ส่งออกไม่มากครั้ง หรือกรมธรรม์การส่งออกแบบเหมาจ่ายรายปี
  • แรงกดดันด้านต้นทุนการผลิต เช่น ค่าแรงงาน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ต้นทุนแรงงานที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการใช้แรงงานจำนวนมาก รวมถึงต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะรายกลางและรายย่อย ที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนต่ำกว่ารายใหญ่ อีกทั้งยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ค่อนข้างยากกว่ารายใหญ่ด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo