นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การส่งออกอาหารไทยปี 2561 ว่าการส่งออกสินค้าอาหารของไทยช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ขยายตัวสูงขึ้นในรูปดอลลาร์ 13.2% แต่ในรูปเงินบาทขยายตัวต่ำ เพิ่มขึ้นแค่ 1.5%
สินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ไก่ มันสำปะหลัง เครื่องปรุงรส และผลิตภัณฑ์มะพร้าว ส่วนสินค้าที่ส่งออกหดตัวลงทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ กุ้งและผลิตภัณฑ์สับปะรด เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ขณะที่สหรัฐหันไปนำเข้ากุ้งจากอินเดีย อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์มากขึ้น ส่วนสับปะรดไทยเผชิญคู่แข่งอย่างฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น
กลุ่มประเทศ CLMV ยังคงเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วน 15.4% รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียนเดิม สหรัฐ แอฟริกา จีน สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย
ตลาดที่มีการขยายตัวโดดเด่น คือ กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 110.8 % จากการส่งออกน้ำมันพืชไปยังอินเดียเป็นหลัก รองลงมา ได้แก่ จีน เพิ่มขึ้น 27.2% จากการกลับมานำเข้ามันสำปะหลังจากไทย
ส่วนการส่งออกอาหารไทย 6 เดือนแรกของปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวสูงขึ้นมากในรูปดอลลาร์ และขยายตัวต่ำในรูปเงินบาท เพราะการแข็งค่าของเงินบาทยังคงส่งผลกระทบต่อการค้า ประเมินว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 507,844 ล้านบาท หรือ 15,850 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.9% และ 10.3% ในรูปเงินบาทและในรูปดอลลาร์ ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทย 6 เดือนหลังของปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การส่งออกเติบโตสูงกว่าครึ่งปีแรก ส่วนการผลิตและการบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ลดลง แนวโน้มการผลิตและการบริโภค คาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย ประเมินว่าจะมีมูลค่าส่งออก 562,156 ล้านบาท หรือ 17,150 ล้านดอลลาร์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.6% และ 9.8% ในรูปเงินบาทและในรูปดอลลาร์ ตามลำดับ
ในภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารไทยทั้งปี 2561 คาดจะมีมูลค่า 1,070,000 ล้านบาท หรือ 33,000 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.3% และ 10 % ในรูปเงินบาทและในรูปดอลลาร์ ตามลำดับ คาดสินค้าที่จะขยายตัวดีในรูปดอลลาร์ ได้แก่ ข้าว ไก่ ปลาทูน่ากระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป แป้งมันสำปะหลัง เครื่องปรุงรส ส่วนสินค้ากุ้ง น้ำตาลทราย และสับปะรด มีแนวโน้มส่งออกลดลง
ส่วนครึ่งปีหลังการผลิตและการบริโภคจะถูกแรงกดดันจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่การส่งออกครึ่งปีหลังจะคลายตัวจากการแข็งค่าของเงินบาท
