อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ออกประกาศเตือนผู้ประกอบการ ระมัดระวังการเดินเรือ นักท่องเที่ยวออกทะเล ช่วงมีมรสุมคลื่นลมแรง
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ออกประกาศเรื่อง ให้ระมัดระวังการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ช่วงมีมรสุมคลื่นลมแรง โดยระบุว่า
ด้วยกรมอุตุนิยมวิทยา มีประกาศ ฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทยและคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ฉบับที่ 6 (211/2566) แจ้งว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน
ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2566
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา- หมู่เกาะพีพี พิจารณาแล้ว เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากการเดินเรือในช่วงมรสุมฝนตกหนักและคลื่นลมแรง
จึงขอประกาศเตือน ให้ใช้ความระมัดระวัง ในการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลทุกแห่ง ในเขตอุทยานฯ และให้ผู้ควบคุมเรือทุกลำตรวจสอบความพร้อมต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา สวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ และขอให้ติดตามรายงานข่าวสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
ด้านนางรักชนก แพน้อย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ช่วงเดือน สิงหาคมไปจนถึงเดือน กันยายนของทุกปี จะเป็นช่วงที่ลมมรสุมพัดเข้ามาปกคลุมพื้นที่ประเทศไทย ส่งผลให้ทะเลมีคลื่นแรง และมีลมพายุพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวกันจำนวนมากในแต่ละวัน จากสภาวะคลื่นลมแรงอาจทำให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้
สำหรับผู้ฝ่าฝืนนำเรือออกไปในช่วงมรสุม เป็นความผิดมีบทลงโทษ อุทยานแห่งชาติฯ มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ มีโทษสูงสุดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ส่วนการกระทำอื่นใดในเขตอุทยานแห่งชาติที่มีความผิดนอกเหนือจากประกาศกำหนด จะต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนศาลยุติธรรม มีโทษต่ำสุด ต้องระวางโทษจำคุกสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มีโทษสูงสุด ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปีหรือปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หนีร้อนเที่ยว 5 ชายหาดไทย สวยติดอันดับโลก จากเว็บไซต์ World beach guide
- รีสอร์ตเขาค้อพ่นพิษ เด้งหน.อช.เขาค้อ ตั้งกรรมการสอบ ปล่อยรีสอร์ตบุกรุกเขตอุทยานฯ
- กรมอุทยานฯ นำร่องจัดการพื้นที่อนุรักษ์แบบบูรณาการ 20 แห่ง ที่ไหนบ้างเช็กเลย!!