“วราวุธ” ตอบปมเด็กเชื่อมจิต ย้ำ เกียรติและศักดิ์ศรี ข้าราชการ พม. ชี้ผู้บริหารกระทรวง ไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่สามารถตัดสินว่าใครปกติหรือไม่ปกติได้ ยันแก้ปัญหาตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เข้าข้างครอบครัวของเด็กเชื่อมจิต ภายหลังจากมายื่นข้อร้องเรียนถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พม. จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเข้าพบ นางอภิญญาชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (อธิบดี ดย.)
นายวราวุธ กล่าวว่า ขออนุญาตทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนผ่านสื่อมวลชนตามที่เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 2567) จากการที่ครอบครัวของเด็กชายเชื่อมจิตได้มายื่นข้อร้องเรียนที่กระทรวง พม. นั้น และอธิบดี ดย. ได้ให้สัมภาษณ์ ตนขอยืนยันว่า ตนเอง หรือปลัด พม. หรืออธิบดี ดย. ไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่ใช่นักสหวิชาชีพ
ดังนั้นการที่เราจะไปตัดสินคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่เด็กคนหนึ่ง ว่ามีความปกติหรือไม่ปกตินั้น ตนคิดว่าด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการ เราคงไม่สามารถที่จะไปกล่าวหาหรือบอกว่าคนนั้นปกติ คนนี้ไม่ปกติได้
นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า แต่จากการที่อธิบดี ดย. ได้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่าดูจากสายตาแล้ว ย้ำว่าดูจากสายตาของอธิบดี ดย. แล้ว ภายนอกตัวเด็กนั้นยังปกติดีหมายถึงว่ายังไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ ทางการปฎิบัติ หรือทางพฤติกรรม แต่การที่เด็กได้รับการสั่งสอนมาอย่างไร ถูกปลูกฝังพฤติกรรมมาอย่างไรนั้น ถูกหรือผิดเป็นหน้าที่ของนักจิตวิทยาและทีมสหวิชาชีพ ที่จะต้องมาวินิจฉัย
ในฐานะที่เป็นผู้ที่รับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นอธิบดี ดย. หรือใครก็แล้วแต่ ผมคิดว่าไม่มีใครที่จะระบุหรือกล่าวหาว่าคนใดคนหนึ่งผิดปกติหรือไม่ เพราะว่าในทางกลับกัน หากเมื่อวานนี้ อธิบดี ดย. บอกไปว่าเด็กมีอาการผิดปกติหนึ่งสองสามสี่ ก็ล่อแหลมอีก เพราะผู้ปกครองอาจจะใช้กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาทมาฟ้องร้องเอากับข้าราชการได้ ซึ่งต้องเห็นใจทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าด้วย เกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการในการทำงานมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติในการดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเด็กคนหนึ่งนั้น เราทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ และจะไม่ยอมให้ผู้ใดผู้หนึ่งมาเอาเปรียบ หรือว่าใช้ประโยชน์จากเด็กเด็ดขาด
นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าของกระทรวง พม. เข้าไปแก้ปัญหาในเรื่องนี้นั้น ตนคิดว่าการทำงาน การแก้ปัญหาอะไรก็ตาม หัวใจสำคัญเราไม่ได้เน้นที่ความเร็ว แต่เน้นที่ความถูกต้อง และผลสัมฤทธิ์ของการแก้ไขปัญหา เพราะการแก้ปัญหาด้วยความรวดเร็ว หรือการตัดสินใจอะไรด้วยความรวดเร็วนั้น ถ้าหากตามมาด้วยปัญหาที่ใหญ่กว่า หรือว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แปลว่าความรวดเร็วที่เราใช้ไปนั้นเป็นการเสียเวลาโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น การทำงานของภาครัฐ เรามีกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ ที่บังคับเจ้าหน้าที่ พม. ในการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จะไปมีปฏิสัมพันธ์กับตัวเยาวชน หรือเด็ก หรือแม้แต่ครอบครัวนั้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกัน
สำหรับคำว่าเคร่งครัดนี้แปลว่าไม่ได้น้อยไป และไม่ได้มากไป กฎหมายให้อำนาจทำหน้าที่เท่าไรเราจะทำเท่านั้น เพราะหากทำน้อยไป จะหาว่าเป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าทำมากไปจะแปลว่า ใช้อำนาจโดยไม่ควร อย่างไรก็ตาม ได้กำชับผู้ปฏิบัติหน้าที่ ให้ทำความเข้าใจกับระเบียบกฎหมายทุกมาตราอย่างละเอียดถี่ถ้วน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ครอบครัวเชื่อมจิตไปวัดสวนแก้ว ‘พระพยอม’ ขอให้ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
- ครอบครัว ‘เชื่อมจิต’ บุกพม. ยื่นขอคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก 8 ขวบ
- ‘หนุ่ม กรรชัย’ ถาม ตร.ทองหล่อ ให้อภิสิทธิ์ ‘กลุ่มเชื่อมจิต’ สองมาตรฐานหรือไม่?
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yx