Stock

‘GULF’ ปิดดีลโรงไฟฟ้าขยะ 17,600 ล้านบาท คาดหนุนกำไรปีละ 400 ล้านบาท

“GULF” ปิดดีลโรงไฟฟ้าขยะ มูลค่า 17,600 ล้านบาท คาดหนุนกำไรปีละ 400 ล้านบาท

ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อีกรอบของ GULF หรือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หลังประกาศจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่อ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) รวมลงทุนมูลค่ารวม 17,600 ล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 10 โครงการ และโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม 3 โครงการ

ทั้งหมดจะเป็นการลงทุนผ่านบริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้น 100% นั่นคือ บริษัท กัลฟ์ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (GWTE) โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. สัญญาผู้ถือหุ้นระหว่าง GWTE กับ ETC เพื่อเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50.00% ของบริษัท เก็ท กรีน พาวเวอร์ จำกัด (GGP) ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 10 โครงการ ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นระยะเวลา 20 ปี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โรงไฟฟ้าขยะ

โดยโครงการดังกล่าวเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาจำนวนโครงการละ 8 MW รวมกำลังการผลิต 80 MW และมีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นประมาณ 15,000 ล้านบาท กำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2569

2. สัญญาผู้ถือหุ้นระหว่าง GWTE กับ BWG เพื่อเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50.00% ของบริษัท เซอร์คูลาร์ แคมป์ จำกัด (CC) ผู้พัฒนาโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม (Solid Recovered Fuel: SRF) จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,600 ล้านบาท และมีกำหนด COD ในปี 2568

สำหรับการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมโดยการนำขยะที่ไม่เป็นของเสียอันตรายและมีค่าความร้อนมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงแข็ง เพื่อนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า (waste-to-energy) เป็นการสร้างมูลค่าของเสียจากโรงงาน อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการลักลอบทิ้งขยะ ลดพื้นที่ฝังกลบ ลดการเผาทำลาย ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และยังเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการฝังกลบ และลดปริมาณของเสียจากกระบวนการผลิต ทำให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรตามนโยบายของภาครัฐอีกด้วย

นักวิเคราะห์คาดหนุนกำไร GULF 300-400 ล้านบาทต่อปี

บทวิเคราะห์ บล.หยวนต้า ระบุว่าจากการประเมินเบื้องต้น โดยใช้สมมติฐานสัดส่วน D/E ที่ระดับ 70/30 (สอดคล้องกับ Guidance ที่บริษัทเคยให้ไว้ในช่วงที่เข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมร่วมกับกลุ่ม MILL) คาดธุรกรรมดังกล่าวจะสามารถสร้างกำไรเพิ่มเติมให้กับ GULF ได้ราว 300-400 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ คิดเป็นราว 8-10 ล้านบาทต่อMWต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1-2% ของประมาณการกำไรปี 2569 ที่ระดับ เพราะฉะนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น GULF ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 52.75 บาทต่อหุ้น

GULF ตั้งเป้าปี 2567 รายได้โต 25-30%

จากงาน Opportunity Day ที่ผ่านมา ผู้บริหาร GULF เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2567 จะเติบโตประมาณ 25-30% เนื่องจากจะมีการ COD ของโรงไฟฟ้าใหม่อีกจำนวน 2,746 MW ซึ่งส่งผลให้ ณ สิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตรวม 15,166 MW เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 12,420 MW

โครงการโรงไฟฟ้าที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 และ 4 กำลังการผลิตรวม 1,325 MW ในช่วงเดือนมีนาคมและตุลาคม, โครงการโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 กำลังการผลิต 770 MW และยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) รวมถึงโครงการโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์บวกแบตเตอรี่ที่จะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้

ส่วนงบประมาณการลงทุนปีนี้จะอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท หลักๆ เน้นใช้ลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน 55% ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ 36% ลงทุนในธุรกิจดิจิทัลและอื่นๆ 6% และลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 3%

โรงไฟฟ้าขยะ

นอกจากนี้ บริษัทอัปเดตความคืบหน้าของธุรกิจบริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หลังล่าสุดได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้สามารถเริ่มประกอบธุรกิจได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดจะเปิดเป็นการทั่วไปในช่วงต้นปีนี้ ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ 50% ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank คาดว่า จะยื่นขอใบอนุญาตได้ในช่วงเร็วๆ นี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน