Stock

หุ้นโรงกลั่นพลิกฟื้น เข้าจังหวะไหนดีที่สุด?

หุ้นโรงกลั่นพลิกฟื้น เข้าจังหวะไหนดีที่สุด? บล. กสิกรไทย สรุปผลประกอบการไตรมาส 1/67 พร้อมมุมมองการลงทุนหุ้นโรงกลั่น

สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลง 1% จากตัวเลขการส่งออกน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย ที่แตะจุดสูงสุดในรอบ 9 เดือน และการที่ Fed ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะยืนในระดับสูงนานกว่าที่คาด

ในขณะที่การประชุม OPEC+ เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2567 มีมติขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันดิบ ส่งผลให้กลุ่มจะลดการผลิตลงทั้งหมดวันละประมาณ 5.86 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นความต้องการใช้น้ำมัน 5.7% ของโลก ประกอบด้วยการลดปริมาณ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมีกำหนดหมดอายุในปีหน้า และการลดปริมาณโดยสมัครใจโดย 8 ประเทศสมาชิก 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะหมดอายุในปลายเดือนมิถุนายน 2567

 โรงกลั่น

นักวิเคราะห์ Goldman Sachs ให้มุมมองว่า ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลงกว่าที่คาดในช่วงนี้ ทำให้ OPEC ไม่สามารถลดกำลังการผลิตลงได้มากนัก ส่งผลให้มติในที่ประชุมครั้งนี้ส่งสัญญาณผ่อนคลายลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการกลับมาผลิตเพิ่มของหลายประเทศ เนื่องจากมีกำลังการผลิตสำรองสูง

ถือเป็นประเด็นเชิงหนุนต่อกลุ่มกลางน้ำอย่างหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี โดยที่ค่าการกลั่นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 31% จากสัปดาห์ก่อน ก่อนหน้านี้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ราคาหุ้นได้ซึมซับปัจจัยลบไปมากแล้ว ดังนั้น หากนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ จึงเป็นโอกาสกลับมาเก็งกำไรเพื่อรับการฟื้นตัวของหุ้นโรงกลั่น พร้อมรับ Driving Season

ทั้งนี้ ปัจจุบันค่าการกลั่น (GRM) ลงมาที่ระดับกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใกล้จุด Bottom ของรอบเต็มที แน่นอนว่าเวลาเราลงทุนหุ้นโรงกลั่นที่มีความเป็นหุ้นวัฏจักรสูง จึงต้องเข้าซื้อในจังหวะที่ค่าการกลั่นต่ำๆ คือบริเวณ 2-3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และรอจังหวะที่ GRM รีบาวด์ตามดีมานด์ของช่วงฤดูร้อนในสหรัฐอเมริกา

สรุปคำแนะนำหุ้นโรงกลั่น

บทวิเคราะห์ บล. กสิกรไทย ได้สรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2567 พร้อมมุมมองการลงทุนหุ้นโรงกลั่น (Refinery Sector) มาฝากดังนี้

 โรงกลั่น

1. TOP หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

กำไรสุทธิไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% YoY และ 99% QoQ สูงกว่าประมาณการตลาดที่ 11-12% หรือประมาณ 650 ล้านบาท แม้ว่าโครงการ CFP จะเกินงบประมาณ 10% แต่ผู้บริหารยังคงเป้าหมาย SCOD ในไตรมาส 1/2568 และคาดว่าจะดำเนินการทดสอบเดินเครื่อง CDU และ RHCU ภายในปีนี้

คาด GRM จะฟื้นตัวจากการลดกำลังการผลิตของโรงกลั่นในภูมิภาค ท่ามกลางอุปสงค์ตามฤดูกาลที่สูงขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ จึงปรับประมาณการปี 2567 ขึ้น 9% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 64.30 บาทต่อหุ้น

2. BCP หรือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

กำไรไตรมาส 1/2567 ตามคาดอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท ลดลง 11% YoY ส่วนโครงการ SAF จะแล้วเสร็จภายในสิ้นไตรมาส 1/2568 โดยเชื่อว่าหน่วยผลิตนี้มีต้นทุนที่แข่งขันได้ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนหน่วยผลิตไฮโดรเจน คาดสร้างกำไรสุทธิที่ปีละ 340 ล้านบาท สำหรับอัตรากำไรสุทธิทุก 1 บาทต่อลิตร แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 46.10 บาทต่อหุ้น

3.  BSRC หรือ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน)

กำไรไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น YoY, QoQ สอดคล้องกับประมาณการของตลาด แต่อ่อนแอกว่าโรงกลั่นคู่แข่งในประเทศ เนื่องจาก GRM อยู่ในระดับต่ำกว่า Singapore GRM และการประหยัดต้นทุนที่ต่ำกว่าคาดหลังการผนึกกำลัง

จึงลดประมาณการกำไรปี 2567-2568 ลง 32% และ 12% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนสมมติฐาน GRM ใหม่ ค่าการตลาดน้ำมันที่ลดลง การประหยัดค่าธรรมเนียมการจัดการที่น้อยลง แต่ประมาณการใหม่ยังมี CAGR ที่ 44% ในช่วงปี 2567-2569 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.40 บาทต่อหุ้น

 โรงกลั่น

4.  SPRC หรือ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน)

กำไรไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 224% YoY และพลิกกลับจากผลขาดทุนสุทธิที่ 4.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/2566 ถือว่าดีกว่าคาดประมาณ 28% แต่ประเมินว่ากำไรสุทธิของ SPRC จะอ่อนตัวลงในไตรมาส 2/2567 จาก GRM ที่ลดลงมาก อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.60 บาทต่อหุ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน