ผ่านมาครึ่งปี 2567 ถือเป็นหนึ่งในปีที่ย่ำแย่ที่สุดของหุ้นไทย โดยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา SET Index อยู่ต่ำกว่าระดับ 1,300 จุด ปรับตัวลดลง -8.30% จากช่วงต้นปี 2567 สวนทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างทะยานขึ้นทำ All-Time High
จะเรียกได้ว่าหุ้นไทยอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแห่ง “ความหมดหวัง” ก็ว่าได้ ทั้งในแง่ของปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อให้เติบโต ตลอดจนการขาดปัจจัยเร่งระยะสั้น อย่างเช่นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแรง ๆ ที่โดนเลื่อนให้ล่าช้าออกไป
บทความนี้จะมาสำรวจ 5 หุ้นขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงกว่า 50,000 ล้านบาท และทำราคาร่วงลงต่ำสุดครั้งใหม่ (New Low) ในรอบ 10 ปี จะมีหุ้นตัวไหนบ้าง เราสรุปมาให้แล้ว
- SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
ผู้ประกอบธุรกิจการลงทุน (Holding company) ใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับลดลง -27.06% ทำราคาปิดต่ำสุดที่ 221 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์เหลืออยู่ที่ 267,600 ล้านบาท
- BJC หรือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
ผู้ประกอบธุรกิจสินค้า และบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ กลุ่มสินค้า และบริการทางบรรจุภัณฑ์ กลุ่มสินค้า และบริการทางอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้า และบริการทางเวชภัณฑ์ และทางเทคนิค
ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับลดลง -20.06% ทำราคาปิดต่ำสุดที่ 20.60 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์เหลืออยู่ที่ 83,762 ล้านบาท
- EA หรือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
ดำเนินธุรกิจไบโอดีเซล โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับลดลง -62.15% ทำราคาปิดต่ำสุดที่ 17.60 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์เหลืออยู่ที่ 67,140 ล้านบาท
- BTS หรือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
ประกอบธุรกิจระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า ทางพิเศษ และสื่อโฆษณา ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับลดลง -38.50% ทำราคาปิดต่ำสุดที่ 4.50 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์เหลืออยู่ที่ 59,517 ล้านบาท
- RATCH หรือ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้ง ในบริษัทพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงหลักประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับลดลง-18.90% ทำราคาปิดต่ำสุดที่ 26.00 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์เหลืออยู่ที่ 56,550 ล้านบาท
จะเห็นว่าล้วนเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ที่ทำราคาปรับตัวลดลงรุนแรง สอดคล้องกับภาพรวมใหญ่ของตลาดที่มูลค่าหลักทรัพย์รวมกันหายไปกว่า 1.60 ล้านล้านบาท ต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี
ทั้งนี้ ในปี 2567 มีเพียง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น ที่สามารถยืนแกร่งให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ นั่นคือ สินค้าเกษตร (AGRI) ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ (PERSON) และ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ “ภาวะหมี” (Bear Market) เต็มตัว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- รู้จักมาตรการ ‘Uptick Rule’ คุมเข้ม ‘Short Sell’ เพิ่มเสถียรภาพหุ้นไทย
- พรีวิว ‘หุ้น’ เต็งแชมป์ ‘ฟุตบอลยูโร 2024’
- หุ้นโรงกลั่นพลิกฟื้น เข้าจังหวะไหนดีที่สุด?
ติดตามเราได้ที่
เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg