World News

เน้นสานสัมพันธ์! ผู้เชี่ยวชาญชี้ ‘ไทยซื้อเรือดำน้ำจีน’ หวังผลทางการเมือง มากกว่าป้องกันประเทศ

บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ ข้อตกลง “ไทยซื้อเรือดำน้ำจีน” แรงผลักดันในการทำสัญญาซื้อขายนี้มาจากประเด็นทางการเมืองมากกว่าการทหาร

วีโอเอ รายงานว่า รัฐบาลไทย สมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ทำข้อตกลงซื้อเรือดำน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล-ไฟฟ้า คลาสหยวน S26T จำนวน 3 ลำจากจีนเมื่อปี 2017 แต่กลับเผชิญอุปสรรคมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งระงับไปในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19

ไทยซื้อเรือดำน้ำจีน

ต่อมา ในช่วงปลายปี 2566 กระทรวงกลาโหม ภายใต้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ระบุว่า จะไม่เดินหน้าซื้อเรือดำน้ำจากจีน เนื่องจากปักกิ่งไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตในเยอรมนีมาใช้กับเรือดำน้ำได้ตามสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งเป็นผลจากมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจที่สหภาพยุโรปนำมาใช้กับจีน

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศว่า กองทัพเรือตกลงใช้เครื่องยนต์ดีเซล CHD620 ที่ผลิตในจีน แทนเครื่องยนต์จากเยอรมนีแล้ว ซึ่งทำให้สัญญาซื้อเรือดำน้ำจากจีนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

นายเบนจามิน ซาวัคกี ผู้เขียนหนังสือ Thailand: Shifting Ground Between the U.S and Rising China แสดงความเห็นว่า แม้มีความกังวลเกี่ยวกับเครื่องยนต์ดังกล่าว แต่เงื่อนเวลาของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่มีกระแสวิจารณ์รัฐบาลทหารชุดที่แล้วว่า สมควรหรือไม่ที่จะใช้เงินจำนวนมหาศาลในช่วงที่ประเทศกำลังฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19

“ไทยซื้อเรือดำน้ำจีน” ไม่ใช่เรื่องป้องกันประเทศ

นับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อปี 2557 ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้นทั้งทางทหาร และเศรษฐกิจ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐประณามการยึดอำนาจ และยกเลิกเงินช่วยเหลือทางการทหารหลายล้านดอลลาร์ที่ให้กับกองทัพไทย

ปัจจุบัน จีนคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 135,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวจากจีน ยังถือเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยด้วย โดยข้อมูลของสถาบันโลวี ในสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ระหว่างปี 2559-2565 ไทยซื้ออาวุธจากจีนเป็นมูลค่าสูงกว่าที่ซื้อจากสหรัฐ

อย่างไรก็ดี นายซาวัคกี ยังคงตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการซื้อเรือดำน้ำโจมตีจากจีน โดยระบุว่า ไทยไม่ได้ต้องการเรือดำน้ำ และจีนก็ไม่จำเป็นต้องขายให้ไทย เมื่อมองจากมุมด้านความมั่นคง เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อตกลงที่สมเหตุสมผลนักทั้งกับจีนหรือไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงเสียงวิจารณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้เสริมด้วยว่า ข้อตกลงนี้คือ “สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ทางทหารของ 2 ประเทศ” ที่พัฒนาขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อ 10 ปีก่อน และเชื่อว่าจีนได้พยายามสนับสนุนให้เกิดข้อตกลงนี้อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงบางส่วนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการค้าว่าด้วยยุทโธปกรณ์ทางการทหารที่มีการประกาศภายใต้รัฐบาลชุดใหม่

ไทยซื้อเรือดำน้ำจีน

แรงกดดันจากปักกิ่ง

ทางด้านนายเกร็ก เรย์มอนด์ แห่งศูนย์ศึกษาด้านยุทธศาสตร์และการทหาร มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ชี้ว่า ดูเหมือนเป็นฝ่ายจีนที่พยายามผลักดันการขายเรือดำน้ำให้กับกองทัพไทย และตนไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลของนายเศรษฐาต้องการ เห็นได้จากที่เคยมีการเสนอให้ซื้อเรือฟริเกตจากจีนแทน แต่ไม่ว่าแรงกดดันหรือวิธีการไหนที่จีนนำมาใช้ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ

นักวิชาการผู้นี้กล่าวเสริมด้วยว่า การขยายอิทธิพลทางทหารของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการขายเรือดำน้ำให้ไทย และการส่งเรือรบไปประจำการที่กัมพูชา ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลกรุงวอชิงตันอยู่ไม่ติด

ขณะที่ นายซาวัคกี ระบุว่า ความกังวลที่สุดของสหรัฐตอนนี้คือ เรือดำน้ำที่ไทยซื้อจากจีน จะไปเทียบท่าหรือประจำการอยู่ที่ไหนเป็นหลัก

“จะไปอยู่ที่ฐานทัพเรือสัตหีบที่ซึ่งมีเรือของสหรัฐเทียบท่าอยู่ด้วยหรือไม่ และการที่มีเรือของจีน และของสหรัฐ ประจำอยู่ที่ท่าเรือเดียวกันจะเป็นการสร้างความเสี่ยงของการถูกจารกรรมและเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่สหรัฐกังวลมากที่สุด”

อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดเผยสัญญาซื้อขายเรือดำน้ำฉบับปรับปรุงใหม่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นายสุทินยืนยันว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดอื่น ๆ ได้ และยังไม่เปิดโอกาสให้มีการซักถามจนกว่าจะมีการสรุปส่วนอื่น ๆ ของข้อตกลงนี้เสร็จสิ้นเสียก่อน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo