‘ไอเอ็มเอฟ’ แนะ ‘เฟด’ ตรึงดอกเบี้ยอย่างน้อยถึงสิ้นปี 67 เตือนความเสี่ยง ‘เงินเฟ้อ’ ขาขึ้น

โดย The Bangkok Insight Editorial Team 30 มิถุนายน 2567

“ไอเอ็มเอฟ” ระบุ “ธนาคารกลางสหรัฐ” ควรตรึงดอกเบี้ยไว้อย่างน้อยถึงสิ้นปี 2567 ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐ ที่โตกว่าช่วงโควิดระบาด สะท้อนความเสี่ยง “เงินเฟ้อ” ขาขึ้น

นางคริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ควรจะรออย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ ในการตัดสินใจลดดอกเบี้ย เพราะสหรัฐเป็นเพียงประเทศเดียวในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ (จี20) ที่เศรษฐกิจขยายตัวในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐ มีความเสี่ยงที่จะอยู่ในช่วงขาขึ้น

“เราตระหนักถึงความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงขาขึ้น และเมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงเหล่านี้ เราจึงเห็นว่าเฟดควรตรึงดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันไปอีกอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2567”

ทั้งนี้ เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25%-5.50% นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งล่าสุด บรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์กันว่า เฟดอาจจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเริ่มครั้งแรกในเดือนกันยายน แม้ว่าในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินครั้งล่าสุด เฟดจะส่งสัญญาณถึงการลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปี 2567 ก็ตาม

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ จะอยู่ที่ระดับ 2.5% ในช่วงสิ้นปี 2567 และคาดว่าจะแตะระดับเป้าหมายเงินเฟ้อที่เฟดกำหนดไว้ที่ 2% ภายในช่วงกลางปี 2568 ซึ่งเร็วกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569

นางจอร์เจียวา ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปทานด้านแรงงานและประสิทธิภาพด้านการผลิต พร้อมระบุว่า เฟดจำเป็นต้องรอหลักฐานที่ชัดเจนว่าเงินเฟ้อสหรัฐ กำลังปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ก่อนที่จะตัดสินใจลดดอกเบี้ย